ข้อเสียของ IRF
เนื่องจากวิธีการรักษาด้วย IRF ไม่มีการผ่าตัด ฉีดยา หรือใช้แสงเลเซอร์ยิง จึงไม่มีบาดแผล แผลเป็น ด่างขาว รอยดำ หลอดเลือดฝอยขยายตัว หน้าแดงถาวร ทั้งระยะสั้นและระยะยาวอีกหลายปีข้างหน้า แต่ทั้งนี้จะต้องรักษาโดยแพทย์ซึ่งผ่านการฝึกอบรมเป็นผู้ใช้เครื่องมือด้วยตนเอง จึงไม่สามารถให้พนักงานหรือผู้ช่วยแพทย์เป็นผู้รักษาแทนได้ หลังทำ IRF สามารถกลับไปทำงานหรือทำกิจวัตรประจำวันต่อได้ทันทีโดยไม่ต้องงด เพราะจะไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆให้ผู้อื่นสังเกตเห็น
อย่างไรก็ตาม IRF มีข้อเสียเล็กน้อยบางประการ เช่น
1. ผิวหนังอาจแสบเล็กน้อยไป 2-3 วันหลังรักษา บางรายอาจมีอาการผิวหน้าแห้งไปประมาณ 2 สัปดาห์แล้วจึงกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ซึ่งแก้ไขได้ง่ายๆโดยการทาครีมหรือโลชั่นแก้ผิวแห้งให้บ่อยขึ้น
2.ในระหว่างที่ทำการรักษา 2-3 ครั้งแรก บางคนอาจมีความรู้สึกว่าผิวไวต่อแสงจัดจ้ามากขึ้น เนื่องจากหนังกำพร้าซึ่งหมดอายุบางส่วนหลุดลอกออกไปในระหว่างการรักษา แต่หลังจากรักษาจนครบแล้ว กลับรู้สึกว่าทนแสงจัดจ้าได้มากกว่าก่อนการรักษาเสียอีก เนื่องจากชั้นหนังกำพร้ามีการสร้างเซลล์ใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้ผิวหนังมีความทนทานต่อความร้อนและแสงมากขึ้น ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้รับการรักษาจะต้องระลึกเสมอว่าแสงจ้าทุกชนิดแม้แต่แสงจากเตาทำกับข้าว เป็นต้นกำเนิดของริ้วรอย การหย่อนคล้อย ฝ้า กระ และสิว จึงควรหลีกเลี่ยงตลอดไปแม้จะทนได้มากขึ้นก็ตาม
3. หลักการของการรักษาด้วยวิธี IRF คือเน้นเรื่องความปลอดภัย ไม่ฉีดยา ไม่ผ่าตัด ไม่ยิงเลเซอร์เพราะอาจต้องหยุดงานเนื่องจากเป็นแผลตกสะเก็ด ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรหลังทำ เช่นการผ่าตัดซึ่งถ้าไม่ชอบจะแก้ไขยาก ผลของ IRF จึงเกิดอย่างช้าๆค่อยเป็นค่อยไปอย่าง เป็นธรรมชาติ จึงอาจไม่ทันใจบุคคลที่หวังผลเร่งด่วน หรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก IRF อาจไม่มากเท่ากับที่บางคนคาดหวังไว้ ผู้ที่หวังผลเลิศหรือต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างรีบด่วน จึงไม่เหมาะกับการรักษาวิธีนี้หรืออาจต้องใช้วิธีการรักษาแบบอื่นควบคู่กัน
4. IRF มีข้อจำกัด ไม่สามารถรักษาปัญหาบางอย่างได้ เช่น
4.1 ริ้วรอย ร่องลึกที่เกิดขณะแสดงสีหน้า เช่นรอยตีนกาขณะยิ้ม รอยขมวดคิ้ว ทำได้เพียงทำให้ตื้นขึ้นบ้าง ไม่สามารถเทียบกับการผ่าตัดดึงหน้าหรือการฉีดยาคลายกล้ามเนื้อ Botox ได้ แต่การผ่าตัดดึงหน้าหรือการฉีด Botox มีข้อเสียคืออาจทำให้ใบหน้าดูไร้อารมณ์ไม่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะการผ่าตัดหลังจากเวลาผ่านไปนานเข้ามักจะเกิดปัญหาสองข้างซ้ายขวาไม่เท่ากัน ทำให้ต้องผ่าซ้ำๆเพื่อแก้ไข
4.2 ฝ้าและกระที่ลึกมากๆ ช่วยได้เพียงทำให้เลือนจางลงไปบ้าง หลังทำแล้วยังต้องตามด้วยการทายาและครีมกันยูวี ซึ่งขั้นตอนการทำ IRF resurfacing จะช่วยทำให้ยาที่ทาซึมลงไปได้ลึกขึ้นกว่าเดิม ผู้ที่เป็นฝ้าลึกจึงมักสังเกตพบว่าหลังทำ IRF ดูเหมือนยาทาตัวเก่ากลับมีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิมในการกำจัดฝ้าที่เหลือ ขณะเดียวกันเครื่องมือแพทย์อื่นๆ เช่น IPL , LASER ก็ไม่สามารถรักษาฝ้าและกระลึกให้หายขาดได้เช่นเดียวกัน
4.3 หลุมสิวที่ลึกหรือกว้างมากๆ ช่วยได้เพียงทำให้ตื้นขึ้นไม่สามารถทำให้หายสนิทได้ แต่เครื่องมือแพทย์อื่นๆ เช่น Dermaroller , IPL , LASER ก็ไม่สามารถทำให้หายสนิทได้เช่นเดียวกัน
อ่านเพิ่ม
- IRF คืออะไร
- ประโยชน์ของการรักษาด้วย IRF
- ระยะเวลาเห็นผลของ IRF
- ผลการรักษาด้วย IRF จะคงอยู่นานแค่ไหน
- ความแตกต่างระหว่าง IRF กับ RF , IPL และ LASER
- ความคุ้มค่าและประหยัดของ IRF เมื่อเทียบกับ RF , IPL และ LASER
- ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำ IRF
- ภาพแสดงตัวอย่างผลการรักษาด้วย IRF
บทความโดย นพ. พัฒนพงษ์ อธิกวินธร
ให้คำปรึกษาและกรุณาด้านภาพโดย อาจารย์ นพ. ชาญชัย ฉัตรศิริมงคล , คุณ พีรวัฒน์ สิทธิการิยกุล Photobiocare .